|
การศึกษาทางดินในประเทศไทย |
|
|
|
การศึกษาทางดินในประเทศไทย
ทั้งในด้านปฐพีวิทยาธรรมชาติ (pedology) และด้านความสัมพันธ์กับพืช
(edaphology) นั้น ได้ยึดถือวิวัฒนาการทางวิชาการของยุโรปและอเมริกันเป็นหลัก
ซึ่งเริ่มมากว่า 50 ปีแล้ว โดยมีหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และองค์กรในมหาวิทยาลัยต่างๆ
ในประเทศ กับมีผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือโดยเฉพาะในสมัยแรกๆ |
|
การศึกษาทั้งสองด้านที่ทำต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ
นี้ ทำให้มีข้อมูลและข้อสนเทศที่สามารถนำมาใช้ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับดินมากมาย
และผลจากการศึกษาทำให้มองเห็นปัญหาเกี่ยวกับดินและการใช้ที่ดินมากยิ่งขึ้น
|
|
|
|
การดำเนินงานสำรวจจำแนกดินในประเทศไทย |
|
|
|
การศึกษาดินด้านปฐพีวิทยาธรรมชาติเพื่อเรียนรู้ลักษณะสมบัติต่างๆ
ของดิน การเกิดและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตัวของดิน
รวมถึงการแจกแจงชนิดของดินและทำแผนที่ดินในประเทศไทยนั้น
ได้เริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปี
พ.ศ. 2478 โดยมี Dr. R.L.
Pendleton นักวิทยาศาสตร์ทางดินและการเกษตรชาวอเมริกัน
ซึ่งเข้ามาปฏิบัติงานในฐานะที่ปรึกษาของกรมกสิกรรมและประมง
ในสมัยนั้นเป็นผู้ริเริ่ม โดยมีนักวิชาการฝ่ายไทย คือ ดร.สาโรช
มนตระกูล และ ดร.เริ่ม บูรณฤกษ์ เป็นผู้ร่วมงานอย่างใกล้ชิด
ทำการสำรวจดินในระดับประเทศ (Reconnaissane soil survey)
โดยยึดถือระบบการสำรวจและจำแนกดินตามแบบของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา
(Untied States Department of Agriculture : USDA) ปี 1938
หรือที่เรียกว่า ระบบ USDA
1938 เป็นหลัก
|
|
ในปี
พ.ศ. 2510 นักวิชาการทางดินของประเทศไทยจึงได้นำระบบการจำแนกใหม่
ที่เรียกว่า ระบบอนุกรมวิธานดิน
(Soil Taxonomy) เข้ามาใช้ในระบบการสำรวจและจำแนกดินของประเทศไทย
ซึ่งต่อมาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นระบบที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นระบบการจำแนกดินในประเทศไทย
จึงได้ทำการจัดจำแนกดินตามระบบอนุกรมวิธานดินนี้มาจนถึงปัจจุบัน
การจำแนกดินตามอนุกรมวิธานดินนี้ มีการแบ่งชั้นการจำแนกดินออกเป็น
6 ขั้น คือ อันดับ อันดับย่อย กลุ่มดินใหญ่
กลุ่มดินย่อย วงศ์ดิน และชุดดิน
|
|
หน่วยจำแนกดินที่เล็กที่สุดในระบบนี้
คือ "ชุดดิน"
ปัจจุบันมีชุดดินต่างๆ ที่เป็นตัวแทนดินที่พบในพื้นที่ต่างๆ
ขอประเทศไทย มากกว่า 200 ชุดดิน |
|
|
|
|
|
|
|
ลักษณะเด่นของดินในประเทศไทย |
|
|
|
|
จากข้อมูลที่ได้จากการศึกษาดินอย่างต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน
สามารถจะบอกได้ว่าดินส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีลักษณะเด่นเป็นดินเขตร้อนที่มีพัฒนาการค่อนข้างสูงถึงสูง
และมักจะขาดความอุดมสมบูรณ์ในระดับการผลิตพืชเศรษฐกิจเนื่องจากปัจจัยและสภาพแวดล้อม
ในการเกิดดินในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน ลักษณะของดินที่เกิดในบริเวณต่างๆ
ของประเทศไทยจึงมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันไปด้วย
สรุปโดยภาพรวมได้ดังนี้... |
|
|
|
|
|
ทรัพยากรดินในภาคใต้ |
|
|
|
ลักษณะดินที่พบส่วนใหญ่ในภาคใต้
เป็นดินที่อยู่ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างชื้น เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นแหลมหรือแผ่นดินยื่นลงไปในทะเล
มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นแนวยาวทั้งสองด้าน ตอนกลางมีเทือกเขาสูงทอดตัวเป็นแนวยาวเหนือ-ใต้
และมีสภาพภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้นมีฝนตกชุกสม่ำเสมอ
ดินในพื้นที่ดอนส่วนใหญ่เป็นดินที่มีพัฒนาการมาก
มีการชะล้างสูง ความอุดมสมบูรณ์อยู่ในเกณฑ์ต่ำ จัดได้ว่าเป็นดินที่มีศักยภาพทางการเกษตรต่ำถึงค่อนข้างต่ำ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ทรัพยากรดินในภาคกลาง |
|
|
|
สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มของแม่น้ำเจ้าพระยา
แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และลำน้ำสาขา
ทำให้มีพื้นที่ราบต่อเนื่องกันเป็นบริเวณกว้าง วัตถุต้นกำเนิดดินส่วนใหญ่เป็นพวกตะกอนน้ำพา
ดินในแถบนี้
จึงมีศักยภาพทางการเกษตรอยู่ในระดับค่อนข้างสูง
ประกอบกับพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบบชลประทาน
การใช้ประโยชน์ที่ดินจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าภาคอื่นๆ
แม้ว่าจะมีปัญหาดินเปรี้ยวอยู่บ้าง |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ทรัพยากรดินในภาคเหนือ |
|
|
|
สภาพพื้นที่โดยทั่วๆ
ไปเป็นเทือกเขาสูงสลับกับที่ราบระหว่างหุบเขา หรือที่ราบบริเวณสองฝั่งแม่น้ำสายใหญ่
ลักษณะดินที่พบส่วนใหญ่เป็นดินที่มีพัฒนาการไม่มากนัก
ในดินยังคงมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำจนเกินไป
ดินในบริเวณที่ราบหรือค่อนข้างราบเป็นดินที่มีศักยภาพทางการเกษตรอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง
แต่ข้อจำกัดของพื้นที่ภาคเหนือที่สำคัญคือ เป็นพื้นที่ลาดชันเชิงซ้อน
มีพื้นที่ภูเขาและเทือกเขาต่างๆ ที่มีความลาดชันมากกว่าร้อยละ
35 ขึ้นไป ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้างขวาง ซึ่งพื้นที่เหล่านี้จัดว่ามีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายสูง
ไม่เหมาะสมสำหรับทำการเกษตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ทรัพยากรดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
|
|
|
สภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่มสลับกับที่ดอน
วัตถุต้นกำเนิดดินส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตัวผุพังอยู่กับที่ของหินตะกอน
หรือเป็นชิ้นส่วนของหินตะกอนที่ผุพังและถูกเคลื่อนย้ายมาในระยะทางไม่ไกลนัก
ลักษณะดินที่พบส่วนใหญ่มักจะเป็นดินที่มีพัฒนาการสูง
มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินมีโอกาสขาดแคลนน้ำได้ง่าย
เนื่องจากเนื้อดินเป็นทรายจัด นอกจากนี้ยังมีดินที่มีปัญหาในการใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรอีกด้วย
เช่น ดินเค็ม ดินทราย ดินมีกรวดศิลาแลงปนอยู่ในระดับตื้น
ส่งผลให้ศักยภาพของดินทางการเกษตรส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำหรือต่ำ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
อ่านต่อ
>> |
|
|
|
|