การดูแลรักษาดินที่ดีอยู่แล้วให้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนนั้น
จะต้องได้รับการดูแลรักษาทั้งทางด้านร่างกายหรือลักษณะทางกายภาพของดิน
และทางด้านระบบสารอาหารหรือลักษณะทางด้านเคมีของดิน
เพราะดินที่มีสุขภาพดีนั้นร่างกายจะต้องเหมาะสมสำหรับการหยั่งตัวของรากพืช
สามารถอุ้มน้ำให้พืชใช้ได้
และสามารถระบายน้ำส่วนเกินออกจากดินเพื่อให้มีอากาศให้พืชหายใจได้
(ยกเว้นข้าว) ขณะเดียวกันดินที่สุขภาพดีนั้นต้องมีสารอาหารต่างๆ
ในปริมาณและสัดส่วนที่พอเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพืช
การดูแลรักษาดินทางด้านร่างกาย
ทำได้โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์
ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด หรือแม้แต่การไถกลบตอซัง
ก็มีส่วนช่วยให้ดินมีสุขภาพทางด้านร่างกายที่สมบูรณ์ทั้งนั้น
ดินที่มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์นั้นสังเกตได้ง่าย
คือ หน้าดินจะมีสีคล้ำขึ้น
(ในกรณีที่ดินเดิมไม่ได้เป็นสีเทาหรือสีดำอยู่แล้ว)
มีความร่วนซุย เกาะกันเป็นเม็ดดิน
ดินที่สุขภาพทางร่างกายดีจะทำให้พืชหยั่งรากได้ดี
แผ่กระจายรากได้มาก ทำให้รากพืชดูดน้ำและธาตุอาหารได้มาก
พืชก็จะเจริญเติบโตงอกงามได้ดี
ขณะเดียวกันดินที่มีสุขภาพทางร่างกายดีก็จะอุ้มน้ำไว้ได้มาก
เมื่อกระทบแล้งโอกาสที่พืชจะขาดน้ำก็น้อยลง
การไถพรวนก็กระทำได้ง่ายเพราะดินร่วนซุย
และดินก็จะระบายน้ำได้ดีเพราะมีช่องว่างขนาดใหญ่เพียงพอที่จะระบายน้ำส่วนเกิน
ไม่ทำให้น้ำขัง ทำให้รากพืชมีอากาศหายใจและไม่ชะงักการเจริญเติบโต
การดูแลรักษาดินทางด้านระบบสารอาหาร
ทำได้โดยการปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์
มีปริมาณธาตุอาหารต่างๆ
ที่เป็นประโยชน์แก่พืชในสัดส่วนที่พอเหมาะ
ธาตุอาหารบางอย่างนั้นมีอยู่แล้วอย่างเพียงพอในดิน
ธาตุอาหารบางอย่างก็สามารถรับเพิ่มเติมจากอินทรียวัตถุที่ใส่เพื่อดูแลรักษาสุขภาพทางร่างกายแล้ว
แต่ธาตุอาหารบางชนิดที่พืชต้องการมากและบ่อยครั้งที่ดินมีไม่เพียงพอก็จำเป็นต้องเพิ่มเติมให้ด้วยปุ๋ยเคมี
ซึ่งมักได้แก่ธาตุไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
ดินบางแห่งมีธาตุฟอสฟอรัส
และโพแทสเซียมอยู่มากแล้วในดิน
ก็จำเป็นเพียงแค่เพิ่มเติมธาตุไนโตรเจนเท่านั้น
บางแห่งก็ขาดธาตุทั้งสามตัวอย่างมาก
บางแห่งก็มีธาตุทั้งสามตัวอยู่มากจนสามารถทำเกษตรอินทรีย์คือไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลยก็ยังได้
การจะทราบได้ว่าดินใดมีธาตุใดอยู่มากอยู่น้อยเพียงใด
เพียงพอต่อความต้องการของพืชหรือไม่นั้น
สามารถทำได้โดยการตรวจสุขภาพดิน
ในบางกรณีการดูแลรักษาดินทางด้านระบบสารอาหารนั้น
ก็ต้องกระทำเพื่อให้ดินปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาให้พืชใช้ได้
เพราะในบางสภาพแวดล้อมแม้จะมีธาตุอาหารอยู่แล้วในดิน
แต่จะอยู่ในรูปที่พืชใช้ประโยชน์ไม่ได้
ก็จำเป็นต้องมีการปรับปรุงบำรุงรักษาดินเพื่อให้ธาตุอาหารเหล่านั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมา
อย่างไรก็ดี มีความเข้าใจผิดอยู่บางส่วนเกี่ยวกับปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์
คือหลายส่วนเข้าใจว่าปุ๋ยเคมีเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ทำให้ดินแข็ง และสิ้นเปลือง
แต่ในความเป็นจริงแล้วปุ๋ยเคมีก็เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติเช่นเดียวกับปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยไนโตรเจนนั้นถูกดักจับเอาจากอากาศแล้วแปรรูปให้อยู่ในรูปที่เป็นเม็ด
ปุ๋ยฟอสฟอรัสได้จากหินฟอสเฟตถูกนำไปสกัดเอาแต่ส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ออกมา
ขณะที่ปุ๋ยโพแทสเซียมก็ได้มากจากหินแร่โพแทสเซียมที่ถูกนำมาบดย่อย
ปุ๋ยเคมีจึงไม่ได้เป็นสารพิษแต่อย่างใด
หากแต่การพึงพาการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวในการผลิตพืชในช่วงที่ผ่านมา
โดยไม่ได้มีการเพิ่มเติมปุ๋ยอินทรีย์ให้กับดิน
จึงทำให้ปริมาณอินทรียวัตถุในดินลดน้อยลง
และหน้าดินก็จะแห้งแข็งไม่ร่วนซุยเหมือนเดิม
แล้วเข้าใจเอาว่าเป็นผลจากการใช้ปุ๋ยเคมี
หากพิจารณากันให้ถ่องแท้แล้วและเป็นจริงตามหลักวิชาการแล้ว
สารกำจัดแมลงและสารกำจัดวัชพืชส่วนมากนั้นเอง
ก็เป็นสารอินทรีย์ แต่เป็นสารอินทรีย์สังเคราะห์
ซึ่งหากเอาเฉพาะคำว่า
อินทรีย์ มาพิจารณาว่าอะไรดีอะไรไม่ดีนั้น
จะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เพราะสารกำจัดแมลงที่ได้จากพืชบางชนิด
ที่มองว่าเป็นสารอินทรีย์ธรรมชาติ
ก็เป็นพิษกับคนและสัตว์ได้เช่นเดียวกัน
ขณะที่หลงคิดติดว่าปุ๋ยอินทรีย์ต้องดีกว่าปุ๋ยเคมี
จนถึงกับไปซื้อหาปุ๋ยอินทรีย์มาในราคาแพงเมื่อเทียบกับปริมาณธาตุอาหารในปุ๋ย
ก็จะเป็นเหตุให้เสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
การบำรุงรักษาดูแลดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์นั้น
หลักสำคัญคือการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง
และควรได้มีการตรวจสุขภาพดินประจำปีสม่ำเสมอ
เพื่อดูว่าปริมาณธาตุอาหารที่ขาดตกบกพร่องไปนั้นมากน้อยแค่ไหน
หากไม่มากนักดินก็สามารถรับธาตุอาหารเหล่านั้นเพิ่มเติมได้จากปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตเองได้อยู่แล้ว
แต่หากว่าขาดธาตุอาหารอยู่มากก็ควรเลือกใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ในอัตราที่เหมาะสม
จึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
|